จบดราม่า! กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยืนยัน ‘ปังชา’ ใครๆก็ใช้ได้

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยตื่นตัว และให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นอย่างมาก โดยมีการยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญากับกรมฯ มากกว่า 60,000 คำขอ/ปี ซึ่งนอกจากจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแล้ว ยังสามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างเป็นรูปธรรม กรมฯ จึงอยากเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการไทยศึกษาและทำความเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละประเภท เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยสามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและถูกวิธี

สำหรับประเด็นที่มีกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับเมนู “ปังชา” น้ำแข็งไสรสชาไทยใส่ขนมปังซึ่งมีผู้ประกอบการรายหนึ่งอ้างสิทธิในการได้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร และลิขสิทธิ์นั้น ต้องทำความเข้าใจว่า เครื่องหมายการค้า ได้รับจดทะเบียนไว้แบบไหนจะคุ้มครองตามรูปแบบที่จดได้ และเฉพาะการใช้คู่กับสินค้าหรือบริการที่ระบุไว้ในคำขอเท่านั้น

กรณีนี้ผู้ประกอบการดังกล่าวได้ยื่นจดเครื่องหมายการค้ากับกรมฯ ไว้ 9 เครื่องหมาย ทุกเครื่องหมายมีการสละสิทธิคำว่า “ปังชา” และ “Pang Cha” ยกเว้นคำขอเลขที่220133777ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่มีองค์ประกอบของคำว่า Pang Cha และรูปไก่ประดิษฐ์วางอยู่ในวงรี

โดยผู้ยื่นคำขอได้นำส่งหลักฐานว่ามีการใช้เครื่องหมายนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานจนเป็นที่รู้จักแพร่หลาย กรมฯ จึงรับจดทะเบียน โดยไม่มีการสละสิทธิคำว่า Pang Cha โดยเป็นไปตามหลักของกฎหมาย ซึ่งผู้ประกอบการมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะใช้เครื่องหมายนี้ตามองค์ประกอบของคำและภาพตามที่ได้รับจดทะเบียน แต่ไม่สามารถดึงเฉพาะบางส่วนของเครื่องหมาย คือ คำว่า “Pang Cha” มาอ้างว่าเป็นเจ้าของสิทธิแต่เพียงผู้เดียว

ขอย้ำว่า บุคคลอื่นยังสามารถนำคำนี้ไปใช้ได้ แต่ต้องไม่ใช้ทั้งภาพและคำในรูปแบบเดียวกันกับที่ผู้ประกอบการรายนี้ได้รับจดทะเบียนเอาไว้แล้ว เพราะจะเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าได้คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ส่วนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการรายนี้มีการจดทะเบียนภาชนะสำหรับใส่ปังชาไว้แล้ว แต่ไม่ได้จดสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรในสูตรปังชาซึ่งเป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว ผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีเมนูน้ำแข็งไสรสชาไทยจึงสามารถทำขายต่อไปได้

ทั้งนี้ อยากฝากถึงผู้ประกอบการว่า การออกแบบเครื่องหมายการค้า ควรเลือกใช้คำหรือภาพที่ไม่สื่อถึงประเภท คุณภาพ หรือลักษณะของสินค้าและบริการที่ขาย เพราะไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในคำหรือภาพเหล่านั้นได้ ซึ่งผู้ประกอบการอาจยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในประเด็นนี้คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

อย่างไรก็ดี หากมีคำถามเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาสามารถขอคำปรึกษาได้ที่ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IPAC) ชั้น 4กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือโทรสายด่วน 1368 ตลอดจนติดตามเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ได้ที่ Facebook กรมทรัพย์สินทางปัญญา

เช็กเลย!เงินช่วยชาวไร่อ้อยรอบแรก เข้าบัญชีแล้ว7.7พันล้าน1.22แสนราย

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้า ครม.เห็นชอบโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น ฤดูการผลิตปี 64/65 ในอัตรา 120 บาทต่อตัน กรอบวงเงิน 8,319.24 ล้านบาทว่า ได้เริ่มจ่ายเงินรอบแรกช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดี ไม่เกินวันที่ 7 ต.คคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. 65 ผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ของชาวไร่อ้อยแต่ละรายโดยตรง จำนวน 122,651 ราย มีปริมาณอ้อยสดส่งโรงงาน 64.36 ล้านตัน เป็นจำนวนเงิน 7,723.73 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือครบทุกรายภายในเดือน พ.ย. 65

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ในพื้นที่ปลูกอ้อย 47 จังหวัดทั่วประเทศ สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
ปี 65-67 รวมถึงขอรับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อลดต้นทุนการตัดอ้อยสด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยหันมาตัดอ้อยสดก่อนส่งโรงงานเพิ่มมากขึ้น โดยกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมผลักดันอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เติบโตไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อมคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กล่าวเพิ่มเติมว่า เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือสามารถตรวจสอบสถานะการโอนเงินไปยังบัญชีของท่านผ่านไลน์ “ตรวจสิทธิ์อ้อย” หากไม่มีปัญหาระบบจะแจ้งว่า “บัญชีพร้อมโอน” และหากได้รับการโอนแล้วระบบจะแจ้งว่า “โอนเงินสำเร็จแล้ว” กรณีระบบแจ้งว่าบัญชีของท่าน “ไม่สามารถรับโอนได้” ระบบจะแจ้งให้ทราบว่าไม่สามารถโอนได้เนื่องจากกรณีใด ให้ผู้ตรวจสิทธิฯ รีบแจ้งดำเนินการแก้ไขผ่านโรงงานคู่สัญญาของท่าน และให้โรงงานทำหนังสือรับรองมายังสำนักบริหารอ้อยและน้ำตาลทราย (สบน.) เพื่อรับรองและส่งให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) พิจารณาตรวจสอบร่วมกับ ธ.ก.ส. เพื่อเร่งดำเนินการเบิกจ่ายต่อไป

เตรียมต้อนรับ! แอร์ไลน์จีน 9 สาย ขอทำการบินเข้าประเทศไทยแล้ว

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม แจ้งว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 66 ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.65-2 ม.ค.66 พบว่า ภาพรวมปริมาณผู้โดยสารทางอากาศ ทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น จนเกือบใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ปี 62 โดยเฉพาะภายในประเทศ มีผู้โดยสารใช้บริการรวม 749,919 คน ขณะที่ปี 62 ผู้โดยสารอยู่ที่ 853,765 คน ส่วนระหว่างประเทศ ผู้โดยสารรวม 594,532 คน ส่วนปี 62 ผู้โดยสาร 1,060,584 คน อย่างไรก็ตามคาดว่า ภายในปี 66 การเดินทางภายในประเทศจะดีขึ้นใกล้เคียงกับปกติมาก ส่วนระหว่างประเทศปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 คาดว่าภายในปี 66 ปริมาณผู้โดยสารจะกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ได้

รายงานข่าวแจ้งต่อว่า ในวันที่ 8 ม.ค.66 จีนจะเริ่มเปิดประเทศ คาดว่าปริมาณผู้โดยสารจากจีนจะทยอยเดินทางมายังประเทศไทย โดยช่วงแรกอาจจะยังไม่มาก เพราะบางสายการบิน สนามบิน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 ประเทศยังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม ทั้งนี้ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 มีสายการบินของจีนที่ทำการบินมายังประเทศไทย 19 สายการบิน แต่เมื่อเกิดโควิด-19 ได้ลดการทำการบิน จนกระทั่งปี 65 สำนักงานการบินพลเรือนจีน (CAAC) เริ่มเปิดให้ประเทศไทยจัดสรรเที่ยวบินเข้าประเทศจีนได้ ระยะแรกเพียง 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ขณะที่เที่ยวบินจากจีนเข้าไทย 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เช่นกัน จากนั้น CAAC ให้เพิ่มเที่ยวบินได้เป็น 15 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ซึ่งสายการบินของไทย และของจีน ที่เคยทำการบินในเส้นทางไทย-จีน ได้แบ่งกันทำการบินเพียงสายการบินละประมาณ 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ต่อเส้นทาง

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ปัจจุบันมี 9 สายการบินของจีนทำเรื่องมายังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เพื่อขอตารางเวลาการบิน (สลอต) และเพิ่มความถี่เที่ยวบินมาประเทศไทย โดยส่วนใหญ่เริ่มต้นจากวันละ 1 เที่ยวบินก่อน โดยเที่ยวบินที่เพิ่มจะเริ่มในช่วงครึ่งหลังของเดือน ม.ค.66 อย่างไรก็ตาม สำหรับสายการบินของไทย ขณะนี้ยังไม่มีสายการบินใดขอทำการบินเพิ่มเติมไปยังประเทศจีน คงอยู่ระหว่างวางแผน เพราะก่อนหน้านี้บางสายการบิน ใช้เครื่องบินไปยังเส้นทางอื่นๆ เต็มประสิทธิภาพแล้ว และการเปิดเส้นทางบินใหม่ ก่อนการเปิดจำหน่ายตั๋วโดยสาร ต้องทำการตลาดก่อน 2-3 สัปดาห์ เชื่อว่าเมื่อสายการบิน สนามบิน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 ประเทศมีความพร้อม จะค่อยๆ ทยอยเปิดทำการบินมากขึ้น โดยน่าจะเพิ่มมากขึ้นมากในช่วงเดือน มี.ค.66 ซึ่งเป็นการเริ่มฤดูการบินใหม่

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับตารางบินฤดูหนาว (30 ต.ค.65-25 มี.ค.66) ซึ่งได้กำหนดไว้ก่อนที่จีนจะเปิดประเทศ มีสายการบินของไทยที่ทำการบินไปยังประเทศจีน 7 สายการบิน รวม 15 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ประกอบด้วย 1.สายการบินนกแอร์ ได้แก่ เส้นทาง กรุงเทพฯ-หนานหนิง,กรุงเทพฯ-เจิ้งโจว 1 และ กรุงเทพฯ-เซินเจิ้น เส้นทางละ 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ 2.สายการบินไทยแอร์เอเชีย ได้แก่ เส้นทาง กรุงเทพฯ-หางโจว 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ 3.สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ ได้แก่ เส้นทาง กรุงเทพฯ-ฉางชา และ กรุงเทพฯ-คุนหมิง เส้นทางละ 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์คำพูดจาก รวมสล็อตทดลองเล่น

4.สายการบินไทย ได้แก่ เส้นทาง กรุงเทพฯ-กวางโจว, กรุงเทพฯ-คุนหมิง และ กรุงเทพฯ-เฉินตู เส้นทางละ 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ 5.สายการบินไทยสมายล์ ได้แก่ เส้นทาง กรุงเทพฯ-ฉงชิ่ง และ กรุงเทพฯ-เจิ้งโจว เส้นทางละ 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ 6.สายการบินไทยเวียตเจ็ท ได้แก่ เส้นทาง กรุงเทพฯ-คุนหมิง และกรุงเทพฯ-นานกิง เส้นทางละ 1 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และ 7.สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ได้แก่ เส้นทาง กรุงเทพฯ-เทียนจิน 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์.

เปิดเส้นทางสู่ 34 ปี AIS จากพลังใจ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของระบบสื่อสารประเทศ

ตุลาคม คือ ช่วงเวลาครบรอบการมีอยู่ของ AIS ซึ่งในปีนี้คือ 33 ปีเต็มของการให้บริการ และพร้อมก้าวสู่ปีที่ 34 อย่างเต็มที่ ด้วยพลังกาย พลังใจจากพนักงานทุกคนที่มุ่งมั่นทำงาน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ของประเทศ รวมไปถึงส่งต่อพลังใจเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ให้แก่สังคมทุกภาคส่วน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวในโอกาสนี้ว่า “ในฐานะที่เป็นพลเมืองของประเทศ หน้าที่สำคัญซึ่งเราไม่เคยละเลย ก็คือ การร่วมพัฒนาสังคม เติมเต็ม ส่งต่อความช่วยเหลือ จากองค์ความรู้ พลังกาย พลังใจของพนักงาน ผ่านแนวคิด “ถ้าเราทุกคน คือเครือข่าย” เพราะเราเชื่อเสมอว่า การรวมพลังทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันจะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้เสมอ”

ดังนั้นที่ผ่านมาทุกๆ ปีในวาระครบรอบการดำเนินงาน AIS นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรธรรมาภิบาล ที่เดินหน้านำดิจิทัลมาขับเคลื่อน สร้างความเท่าเทียม พร้อมการยืนหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อมตามหลักคิดเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับการดำเนินธุรกิจแล้ว พนักงาน AIS ยังได้รวมพลังกันส่งต่อโครงการเพื่อประโยชน์ต่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านแนวคิด “ภารกิจคิดเผื่อเพื่อสังคมไทย” ที่มีโครงการต่างๆเพื่อแบ่งปันน้ำใจกลับไปสู่สังคมตลอดระยะเวลา 33 ปี

เริ่มจาก พลังของบุคลากรกว่า 13,000 คน ในนามอุ่นใจอาสา ที่ทำงานต่อยอดพัฒนาชุมชน และโรงเรียน จนมาสู่ โครงการ AIS Academy for Thais ยกระดับความร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยเหลือคนไทยให้เข้าถึงองค์ความรู้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกได้อย่างทันท่วงที จากนั้น โครงการอุ่นใจอาสา พัฒนาอาชีพ ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็เกิดขึ้น เพื่อสร้างอาชีพให้กับคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจในช่วงโควิดคำพูดจาก ทดลองปั่นสล็อต

รวมถึงในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา เราได้จัดกิจกรรม สุขคูณ2 ทั้ง สุขด้วยกัน ปันน้ำใจ และ สุขแบ่งปัน ให้กับสังคม ด้วยการมอบรายได้ทั้งหมดจากการร่วมกิจกรรมของพนักงานทั่วประเทศ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ให้แก่ รพ.ศิริราช เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้

ส่วนในโอกาสที่ AIS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 34 เรายังคงสร้างวัฒนธรรมที่จะส่งต่อความแข็งแกร่งขององค์กรไปสู่สังคมและประเทศชาติ ทั้งในแกนของเศรษฐกิจที่วันนี้เรายกระดับขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้เอื้อต่อภาคส่วนต่างๆ ที่สามารถเข้ามาเชื่อมต่อการทำงานเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน รวมถึงในแกนของสังคมที่เราเชื่อว่าพลังแห่งการ “ให้” ไม่สิ้นสุด โดยพวกเราได้ร่วมกันได้ทำบุญช่วยเหลือผู้ป่วยวิกฤตโรงพยาบาลราชวิถีร่วมเป็นผู้ให้ ส่งต่อลมหายใจ กับกิจกรรรม 13,637 พลังใจ = 1 เครื่องช่วยหายใจ

นายสมชัย กล่าวต่อไปอีกว่า “เครื่องช่วยหายใจ ถือเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตหลักที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมาซึ่งในหลายกรณีที่เครื่องช่วยหายใจสามารถช่วยให้ผู้ป่วยหายดีและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะสามารถช่วยดูแลอาการ พยุงการทำงานของหัวใจและปอด โดยทำหน้าที่ปั๊มเลือดทดแทนการบีบตัวของหัวใจ ร่วมกับแลกเปลี่ยนออกซิเจนทดแทนปอด พร้อมๆกับการบริหารการรักษาให้มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยน้อยที่สุด”คำพูดจาก ทดลองเล่นสล็อตทุกค่ายไม่ต้องสมัคร

“ดังนั้นเมื่อทุกลมหายใจมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศและสังคม การที่ได้มีโอกาสช่วยต่อลมหายใจให้แก่ผู้ป่วยผ่านโครงการนี้ของชาวเอไอเอสในวาระก้าวสู่ปีที่ 34 จึงถือว่า พวกเราได้ร่วมกันส่งต่อลมหายใจให้แก่สังคม เศรษฐกิจ และประเทศด้วยอีกทางหนึ่งครับ” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย

เพิ่มไม่หยุด! 3.4ล้านคนเป็นหนี้เสียโควิด มีปัญหาค้างจ่าย 3.7 แสนล้านบาท

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า หนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล ที่เกิดจากผลกระทบโควิด เรียกว่ารหัส 21 ในไตรมาส 2 ปี 66 (สิ้นเดือน มิ.ย. 66) อยู่ที่ 3.7 แสนล้านบาท คิดเป็น 3.4 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 6 หมื่นล้านบาท และเพิ่ม 3 แสนคน เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 66 ที่มี 3.1 แสนล้านบาท คิดเป็น 3.1 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากหนี้เสียรหัส 21 ของธนาคารของรัฐ ที่เพิ่ม 3.6 หมื่นล้านบาท ในไตรมาส 2 นี้ โดยข้อมูลหนี้เสียทั้งหมดในไตรมาส 2 มีอยู่กว่า 1.03 ล้านล้านบาทคำพูดจาก ทดลองเล่น

ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียรหัส 21 นั้น เพิ่มทั้งของจำนวนเงินและจำนวนรายทั้งๆที่มีการเร่งปรับโครงสร้าง​หนี้​ตามมาตรการแบบมุ่งเป้าอย่างเต็มกำลังของธนาคาร ทำให้​เห็น​ถึงความอ่อนแรงของความสามารถ​ในการชำระหนี้​ของลูกหนี้กลุ่มนี้ที่ชัดเจน​และยังเกิดจากค่าครองชีพสูง รวมทั้งเศรษฐกิจฟื้นตัวไม่ทั่วถึง คำถามคือในระยะเวลาที่เหลือก่อนมาตรการปรับโครงสร้าง​หนี้​ระยะยาว หรือมาตรการฟ้าส้ม​สิ้นสุดไปในปลายปี​นี้ จะส่งผลให้เกิดความอืด ความหนืดในการเร่งจัดการหนี้เสียเป็นหนี้ดีตามที่มุ่งหวังหรือไม่​

สำหรับหนี้ครัวเรือนไทยที่จัดเก็บในระบบเครดิตบูโร มีทั้งสิ้น 13.45 ล้านล้านบาท ครอบคลุม​ลูกหนี้ 32 ล้านคน​ ที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงิน​ไทยกว่า​ 135 แห่ง​ และหนี้เสียกลับเพิ่มขึ้นเกิน 1 ล้านล้านบาทอีกครั้ง มาอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็น 7.7% เมื่อเทียบไตรมาส​ 1 ปี​ 66​ อยู่ที่​ 9.5 แสนล้านบาท และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อด้วยสถานการณ์​ทางเศรษฐกิจ​แบบยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และทั่วถึง ส่วนหนี้ที่ปรับโครงสร้างมีอยู่ 9.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่มี 8 แสนล้านบาท

ขณะที่ข้อมูลของหนี้เสียเอ็นพีแอล 1.03 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย​ หนี้กู้ซื้อรถยนต์​เกือบ​ 2 แสนล้านบาท​, หนี้กู้ซื้อบ้าน​ที่อยู่​อาศัย​ 1.8 แสนล้านบาท, หนี้ส่วนบุคคล 2.5 แสนล้านบาท​, บัตรเครดิต​ 5.6 หมื่นล้านบาท​, หนี้เกษตร​ 7.2 หมื่นล้านบาท​ เป็นต้น​ ที่น่าสังเกตคือหนี้กู้มาซื้อรถยนต์​นั้นเพิ่มขึ้นจากกลางปีที่แล้ว​ มิ.ย. 65 มาสูงถึง 18% ยอมรับว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และหนี้ที่กำลังเฝ้าระวังเป็นหนี้เสีย หรือเอสเอ็ม แม้จะลดจาก 4.75 แสนล้านบาท ในไตรมาสแรกมาอยู่ที่ 6 แสนล้านบาท ในไตรมาส 2 แต่หนี้กู้มาซื้อรถยนต์ 2 แสนล้านบาท ก็ยังคงน่าเป็นห่วง

นอกจากนี้หนี้กู้ซื้อบ้านที่เป็นเอสเอ็มใหล้เสียมี​ 1.3 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้​ 9 หมื่นล้านบาท เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐ​ ซึ่งสะท้อนไปที่บ้านราคาไม่แพง​ กลุ่มรายได้ปานกลาง, รายได้น้อย​ และยังมีหนี้เอสเอ็มของหนี้ส่วนบุคคลอีก​ 8.6 หมื่นล้านบาท​ โดยอัตราส่วนที่กลุ่มนี้จะไหลเป็นเอ็นพีแอลนั้นแบ่งเป็นสินเชื่อบ้านอยู่ที่​ 22%, สินเชื่อรถยนต์​ 12%, สินเชื่อส่วนบุคคล​ 54% และบัตรเครดิต​ 57% สะท้อนว่ายังไม่เป็นขนาดถล่มทลาย​ แบบตกหน้าผาหนี้เสียคำพูดจาก เว็บสล็อตทดลองเล่น

อย่างไรก็ตาม การค้างชำระในส่วนของหนี้ที่มีหลักประกัน​ เช่น รถยนต์, บ้านที่อยู่​อาศัย​นั้น​ เป็นอะไรที่ไม่น่าจะสบายใจ เพราะยังมีเรื่องของค่าครองชีพ, ค่าไฟฟ้า​ ค่าน้ำมัน​เชื้อเพลิง​อีกส่วนหนึ่งที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น​มีแรงกดดันค่าใช้จ่ายส่วนนี้ด้วย ถ้าลูกหนี้ที่เลี้ยงงวดการจ่ายหนี้เดือนชนเดือน เริ่มมีปัญหา ควรรีบเข้าไปขอคำปรึกษา​ กับทางด่วนแก้หนี้​ คลินิกแก้หนี้​ หรือโทร.​ 1213​ เพื่อขอความช่วยเหลือได้ในตอนนี้

แบงก์ยกระดับเข้มคุมคนมีหนี้สูง ให้ดอกเบี้ยเงินกู้ตามความเสี่ยง

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ธนาคารคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะขึ้นไปสูงสุดที่ 2.5% ในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งจากการประเมินของธนาคารไทยพาณิชย์ยังไม่เห็นความเปราะบางของลูกค้า แต่ยังต้องปรับโมเดลการปล่อยสินเชื่อใหม่ในครึ่งปีหลัง และเตรียมเฝ้าระวังหนี้ก้อนเดิมที่อาจมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยสินเชื่อจะมีการพิจารณาที่เข้มขึ้น ดูความเหมาะสม ดูว่าคนกู้มีหนี้มากน้อยเพียงใด สอดคล้องกับการฟื้นตัวของประเทศ หรือมีประวัติชำระหนี้ที่ดีหรือไม่

นอกจากนี้ เรื่องที่ต้องพิจารณาควบคู่คือเรื่องการปล่อยสินเชื่อตามความเสี่ยง ว่าคนกู้เสี่ยงมากคิดดอกเบี้ยสูง คนกู้เสี่ยงน้อยคิดดอกเบี้ยถูก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และในเรื่องนี้ทางสมาคมธนาคารไทยกำลังพิจารณาอยู่ ทางธนาคารไทยพาณิชย์พร้อมน้อมรับนโยบายจากทั้งธปท.และนโยบายตามที่สมาคมธนาคารไทยตัดสินใจ แต่เชื่อว่าปัจจุบันทุกธนาคารได้มีเกณฑ์การพิจารณาความเสี่ยงในลักษณะนี้อยู่แล้ว โดยธนาคารต้องมองไปในอนาคตเพราะยังมีความท้าทายอยู่ทั้งต้องเตรียมเรื่องบริหารจัดการความเสี่ยง การพิจารณา การตั้งสำรอง การเผื่อสำรอง เป็นเรื่องสำคัญที่สุด

“ทุกธนาคารในระบบพยายามสนองนโยบาย การส่งผ่านนโยบายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพอร์ตและมุมมองในอนาคต และฐานลูกค้า สามารถรับความเสี่ยงหรือรับการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยได้หรือไม่ ปัจจุบันไทยพาณิชย์ไม่ได้เป็นธนาคารที่มีการส่งผ่านดอกเบี้ยเยอะที่สุด อยู่ในกลุ่มกลางๆ จะรอดูท่าทีธนาคารอื่นๆและธปท.ก่อนจะประกาศขึ้นต่อไป ถ้าธนาคารอื่นพร้อมขึ้น แต่ไทยพาณิชย์ไม่พร้อมก็ไม่ขึ้น แต่ถ้าคนอื่นไม่ไปแต่พอร์ตพร้อม และมองเห็นโอกาส เราอาจขึ้นได้เช่นเดียวกัน”คำพูดจาก ทดลองใช้ สูตรสล็อต

นายกฤษณ์ กล่าวว่า จากการประเมินเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเมื่อตอนต้นปีเทียบปัจจุบันพบว่าแตกต่างกันสิ้นเชิง โดยการปล่อยสินเชื่อปีนี้อาจไม่ได้ตามเป้าหมาย สินเชื่อไม่ได้เติบโตมาก และต้องมีความระมัดระวัง เพราะความไม่แน่นอนจากความกังวลหลายด้าน ซึ่งการให้ธนาคารมีความเข้มแข็งเป็นโจทย์ที่สำคัญมากกว่า เพราะสามารถเติบโต รายได้ กำไร ผ่านทางอื่นๆได้ เช่น ลดต้นทุน และบริหารจัดการหนี้เสียให้ได้ตามเป้าหมาย เป็นต้นคำพูดจาก รวมเว็บ PG Slot

“การปล่อยสินเชื่อประเภทธุรกิจต้องดูว่าลูกค้ามีความสัมพันธ์กับไทยพาณิชย์อย่างไร ผ่อนจ่ายหนี้ตรงหรือไม่ และมีประสบการณ์ ประวัติผ่อนจ่ายดีหรือเปล่า หรือเป็นธุรกิจใหม่และเป็นสิ่งที่ไทยพาณิชย์ยังไม่เคยทำ ก็ต้องกลับไปดูว่าสอดคล้องกับแนวทางโครงสร้างการพัฒนาประเทศหรือเปล่า ถ้าใช่ก็มองว่าควรสนับสนุน ซึ่งการพิจารณานี้เองเป็นการคัดกรองว่าจะปล่อยหรือไม่”

ทั้งนี้ในเรื่องของหนี้ครัวเรือน พบว่า ไม่ได้มาจากธนาคารพาณิชย์เป็นส่วนใหญ่ แต่มาจากธนาคารของรัฐ 70% , 20% มาจากนอนแบงก์ ไฟแนนซ์ และอีก 10% มาจากธนาคารพาณิชย์ จะเห็นว่าธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ได้เป็นตัวเร่งหนี้ครัวเรือนมากนัก ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารไทยพาณิชย์ได้ปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ เป็นธรรมและมีจริยธรรม ก่อนจะปล่อยสินเชื่อควรบอกลูกค้าว่า การกู้เงินมีด้านดีและด้านเสีย ถ้ากู้โดยไม่คำนึงถึงรายได้ที่มาและกู้เยอะจนเกินไป ทำให้คุณภาพชีวิตลูกค้าลดถอยด้อยลงไป ไม่ยัดเยียดลูกค้ามากเกินไป